สาระน่ารู้
“สวมหน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างทางสังคม รวมถึงปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันกันอย่างเคร่งครัด ” สิ่งเหล่านี้กลายเป็นชีวิตวิถีใหม่ ที่ทุกคนต้องปฏิบัติเพื่อช่วยกันป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด -19 ที่ต้องบอกว่า กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวไปเสียแล้วในแต่ละวัน เชื่อว่าหลายคนลุ้นไปกับการรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศประจำวัน และภาวนาให้ทุกๆวันตัวเลขเหล่านั้นจะลดน้อยลง และสถานการณ์กลับมาปกติเช่นเดิมโดยเร็ว
“โควิดตัวร้าย ทำลายปอด” เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าโควิด-19 จะพุ่งเข้าไปจู่โจมปอดโดยตรง ทำให้เรามีอาการต่างๆ ซึ่งปอด เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการหายใจเข้า-ออก แลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนจากสิ่งแวดล้อม เข้าสู่ระบบเลือดเพื่อหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย และขับของเสียออกมาในรูปก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำผ่านลมหายใจเข้าออก
ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล อธิบายว่า เมื่อไวรัสโควิด-19 เข้าสู่ร่างกาย จุดแรกที่เข้าไป คือ ระบบทางเดินหายใจ และก่อให้เกิดความเสียหายภายในร่างกาย ซึ่งความเสียหายบางอย่างเป็นชั่วคราวแล้วหาย เช่น ปอดอักเสบ หากได้ยารักษาตั้งแต่ต้น ก็จะมีโอกาสหายได้ แต่หากได้รับการรักษาล่าช้า เชื้อจะไปสร้างความเสียหายในปอด และทำให้ปอดไม่พื้นคืนชีพกลับมา เกิดภาวะการหายใจล้มเหลว จนกระทั่งเสียชีวิตในที่สุด
“กรณีคนปกติที่ปอดทำงาน 100% ในช่วงวัยหนุ่มสาว คนที่ไม่อ้วน ไม่มีโรคประจำตัว สุขภาพแข็งแรง ปอดจะทำงานได้ดี เช่น เมื่อไวรัสเข้าไปจู่โจมระบบทางเดินหายใจ อาจทำลายปอดเพียงแค่ 10-20% เมื่อคนเหล่านี้หายจากการติดเชื้อ ปอดจะกลับมาทำงานได้ตามปกติ แต่กลับกันหากคนที่ปอดทำงานน้อยลงกว่าปกติ 70% เมื่อถูกทำลายอีก 10-20% จะทำให้การใช้ชีวิตประจำวันของคนกลุ่มนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว
กลุ่มคนที่ปอดทำงานน้อยลงกว่าปกติ
1. ผู้สูงอายุ เมื่ออายุมากขึ้น อวัยวะต่างๆ ในร่างกายจะเสื่อมตามกาลเวลา การทำงานของปอดจะไม่คงประสิทธิภาพ 100% เหมือนสมัยหนุ่มสาว
2. คนที่เคยเป็นโรคประจำตัวเกี่ยวกับปอด เช่น โรคปอด มะเร็งปอด ถุงลมโป่งพอง ถ้าปอดถูกทำลายเล็กน้อยก็จะส่งผลต่อชีวิตอย่างมาก ระบบร่างกายจะเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว
3. คนที่มีน้ำหนักมาก เสี่ยงกับการหายใจที่ยากลำบากมากกว่าเดิม เพราะกระบังลมเคลื่อนไหวได้ยากขึ้น คนที่มีน้ำหนักมากที่น่าห่วงคือ ผู้ที่มีไขมันใต้ผิวหนัง หรือใต้ช่องท้องมาก จะทำให้การเคลื่อนของกระบังลมยากกว่าเดิม ส่งผลกระทบต่อการทำให้ปอดหายใจเต็มที่ได้น้อยลง หมายถึงปอดของคนกลุ่มนี้จะทำงานได้ไม่ 100% แม้จะมีสุขภาพที่ดี
ดูแลปอดให้แข็งแรงทำอย่างไร
1.ไม่สูบบุหรี่ และไม่เข้าใกล้ควันบุหรี่ หลบให้ไกลจากควันพิษ
2.หมั่นออกกำลังกายและหายใจลึกๆ อย่างน้อยวันละ 10 ครั้ง โดยการหายใจให้ถูกวิธี คือ หายใจเข้า ท้องป่อง หายใจออก ท้องแฟบ
3.ทำให้ปอดอบอุ่น เวลานอนควรห่มผ้าปิดหน้าอกให้มิดชิด
4.กินผักและผลไม้ ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปอด
“ปอดจะปลอดโรค ปลอดภัย หากเราใส่ใจดูแลสุขภาพ” ว่ากันว่า สุขภาพดีมีชัยไปกว่าครึ่ง สสส.อยากเห็นทุกคนสุขภาพดี และปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ได้แก่ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลด หวาน มัน เค็ม เพิ่มผักผลไม้ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และงดปัจจัยเสี่ยงอย่างเหล้าและบุหรี่ เพื่อสุขภาวะที่ดี ปอดแข็งแรง และปลอดภัยจากโควิด-19
สาระน่ารู้เกี่ยวกับโควิด 19
1. โรคจาก COVID 19 รุนแรงและเสียชีวิตน้อยกว่า MERS หรือ SARS โดยพบว่าอัตราตายของโรค SARS พบ 10% MERS พบ 30% ในขณะที่ COVID 19 คาดว่าน่าจะประมาณ 2%
2. ผู้เสียชีวิตจาก COVID 19 ส่วนมากเป็นผู้มีอายุมากกว่า 60 ปี และผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวที่รุนแรง ใน USA พบผู้เสียชีวิต 10-27% ในผู้มีอายุตั้งแต่ 85 ปีขึ้นไป และ 3-11% ในคนอายุ 65-84 ปี และ 1-3% ในคนอายุ 65-84 ปี และ 20-54 ปี (ในรายงานเมื่อวันที่ 16 มีนาคม ไม่พบผู้เสียชีวิตในคนอายุ 19 ปีลงมาเลย) โรคประจำตัวที่รุนแรงได้แก่ เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคปอดเรื้อรัง ความดันโลหิตสูง และมะเร็ง รายงานจากประเทศอังกฤษผู้เสียชีวิต 1 ใน 3 มีเบาหวาน
3. ระยะฟักตัวของโรคคาดกันว่าภายใน 14 วัน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4-5 วัน มีรายงานหนึ่งแจ้งว่า 97.5% ของผู้ป่วยที่มีอาการเกิดภายใน 11.5 วัน
4. อาการของผู้ป่วยมี 5 ระดับ
4.1 ไม่มีอาการเลย
4.2 มีอาการเล็กน้อย (mild) เช่น ไข้ ไอ เจ็บคอ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อเล็กน้อยโดยไม่มีอาการหอบหรือหายใจติดขัด (x-ray ไม่พบความผิดปกติ)
4.3 อาการปานกลาง (moderate) เริ่มมีอาการทางปอด ทั้งอาการและผล x-ray
4.4 อาการรุนแรง (revere) มีอาการชัดเจน หายใจเร็วกว่า 30 ครั้ง/นาที มีรอยโรคมากกว่า 50% ของปอดจาก x-ray
4.5 รุนแรงมาก (critical) หายใจติดขัด ไม่รู้สึกตัว มีความผิดปกติหลายระบบของร่างกาย
โดยสรุป
4.6 อากายน้อย มีนิวโมเนียน้อย พบได้ 81%
4.7 อาการรุนแรง มีรอยโรคที่ปอดมากกว่า 50% พบได้ 14%
4.8 ขั้นรุนแรงมากพบได้ 5%
5. ปัญหาการแข็งตัวของเม็ดเลือด (hypercoagulatory) ก่อให้เกิดภาวะหลอดเลือดอุดตัน ที่มีรายงานพบในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง มีหลักฐานต่าง ๆ ได้แก่
5.1 Thrombocytopenia (เกล็ดเลือดต่ำ)
5.2 ค่า D-dimer สูงขึ้น
5.3 มี fibrin degradation product มากขึ้น
5.4 prothrombin time ยาว
5.5 อาการของการอุดตันของหลอดเลือดที่พบบ่อย ได้แก่ deep venous thrombosis, pulmonary embolism, microvascular thrombosis ของนิ้วโป้เท้า, EKG พบ ST elevation , stroke เป็นต้น